Pale Ale ทั่วไปเป็นเบียร์ Ale สีทองถึงสีเหลืองอำพัน ซึ่งหมักโดยใช้ยีสต์เอลและมอลต์ที่สีอ่อนเป็นหลัก
คำว่า Pale Ale ปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อราวปี ค.ศ. 1703 สำหรับเบียร์ที่ทำจากมอลต์ที่ผ่านขั้นตอน Kilning ด้วย Coke (เชื้อเพลิงชนิดคาร์บอนสูง) ซึ่งทำให้ได้สีที่อ่อนกว่าเบียร์อื่นๆ ที่ได้รับความนิยมในขณะนั้น (ยุคนั้นคนนิยม Porter เบียร์สีดำที่ทำจากมอลต์เก่าที่เอาไปคั่ว) ด้วยเทคนิคการผลิตเบียร์ที่แตกต่างกันและปริมาณฮอปของแต่ละเจ้า ส่งผลให้เกิด Pale Ale ที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะ Pale Ale จากเมือง Burton-on-Trent ในอังกฤษซึ่งขึ้นชื่อเรื่อง Pale Ale เพราะแหล่งน้ำที่ใช้อุดมไปด้วย Calcium sulfate แร่ธาตุที่กระตุ้นให้ได้ความขมที่แตกต่างและช่วยส่งเสริมฮอปให้มีคาแรคเตอร์ที่ชัดขึ้น
ปัจจุบัน Pale Ale จากอังกฤษยังคงผลิตอยู่ในรสชาติแบบดั้งเดิม และถือเป็นเบียร์ ต้นฉบับ สไตล์หนึ่งที่ส่งผลต่อวงการเบียร์ในยุคต่อมา โดยที่ Pale Ale ได้แตกออกเป็นสไตล์อื่นๆดังนี้ Amber Ale, American Pale Ale, Australian Pale Ale, Blonde Ale, India Pae Ale, Irish Red Ale, และอีกมากมาย
ข้ามฝั่งทวีปมาที่อเมริกา ในยุค 1970-1980 ได้เริ่มเกิด American Craft Beer Revolution ทำให้เกิดการผลิตเบียร์ Pale Ale ทางฝั่งอเมริกาขึ้นมากมาย และส่วนมากเกิดจากโรงเบียร์ขนาดเล็กเพื่อสร้างให้เกิดความแตกต่างจากเบียร์ยอดนิยมในตอนนั้นอย่าง Lager โดยใช้สไตล์ Pale Ale ของอังกฤษต้นฉบับมาปรับปรุงให้มีสไตล์เป็นของตัวเอง โดยเพิ่มแอลกอฮอล์ เพิ่มมอลต์ เพิ่มฮอป และทำให้ความซ่ามากขึ้น โดยที่มี Sierra Nevada Pale Ale เป็นเจ้าแรกที่เริ่มกระบวนการนี้ แม้ยุคนั้นผู้บริโภคยังไม่ชินกับเบียร์ที่ใส่ฮอปเยอะก็ตาม แต่เบียร์ตัวนี้เป็นต้นกำเนิดให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ในยุคนั้นฮอปที่ใช้ในการผลิตเบียร์ก็ยังไม่มีความหลากหลาย โดยฮอปที่ใช้ในยุคนั้นคือสายพันธุ์ Cascade ซึ่งพัฒนาโดย Oregon State University ที่ให้คาแรคเตอร์ Floral และ Citrus ที่ไม่ใช่คาแรคเตอร์ของ English Pale Ale ปกติที่ใช้แต่ Noble Hop โดยที่ Sierra Nevada เริ่มผลิตในปี 1980 และต่อมาด้วย Deschutes Mirror Pond Pale Ale ในปี 1988
ทั้งสองตัวใช้ Cascade ฮอปในการผลิต และจนถึงตอนนี้ American Pale Ale ก็ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นในการผลิต และถือเป็นเบียร์แห่งจิตวิญญาณที่ฝังแน่นอยู่ในใจของผู้ผลิตเบียร์ชาวอเมริกัน
Stay Safe!
Drink Responsibly.
SPACECRAFT